ในทุกๆ วัน มีการซื้อขายหุ้นบริษัทต่างๆ หลายล้านหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก
ผู้ค้าจะซื้อด้วยความหวังว่าหุ้นจะเพิ่มมูลค่าและขายเพื่อทำกำไรได้ภายหลัง
แต่นั่นก็มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะการคาดเดาราคาหุ้นเป็นเรื่องยากมาก
มูลค่าของหุ้นไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับการไหลเวียนของเงินสด แต่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนด้วย
ราคาหุ้น
เมื่อคุณซื้อหุ้นของบริษัทหนึ่ง คุณซื้อความเป็นเจ้าของบางส่วนของธุรกิจนั้น
มูลค่าของหุ้นจึงสัมพันธ์กับมูลค่าของบริษัท
มีตัวแปรมากมายหลายตัวที่มีผลกระทบต่อมูลค่า
มูลค่าของบริษัทเกษตรกรรมอาจตกลงอย่างรวดเร็ว หากอากาศที่เลวร้ายส่งผลให้การเก็บผลผลิตย่ำแย่
หรือมูลค่าของบริษัทผลิตยาอาจเพิ่มขึ้นหากยาตัวใหม่ผ่านการรับรอง
นี่เป็นปัจจัยที่ชัดเจนที่มีผลต่อรายได้ กำไรของบริษัท...
และมูลค่าของหุ้น
แต่ชื่อเสียงของบริษัทก็มีผลต่อราคาหุ้นเช่นกัน
ชื่อเสียง
หากนักลงทุนรู้สึกว่าบริษัทดำเนินกิจการได้ดีในอดีต พวกเขามีแนวโน้มที่จะมองบริษัทว่าเป็นการลงทุนที่ดีและปลอดภัย
ความต้องการของหุ้นก็จะสูงขึ้น ทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มมากขึ้น
บริษัทอาจใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงโด่งดัง อาศัยความมั่นใจของผู้ถือหุ้น รักษาระดับราคาไว้คงที่ในช่วงวิกฤตการณ์การเงิน
แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอ
ความมั่นใจของนักลงทุน
ในปี ค.ศ.2007 เลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของอเมริกา ถูกตีมูลค่าที่เกือบ 60,000 ล้านดอลลาร์
ตอนนั้น บริษัทเลห์แมน ได้ประกาศว่าพวกเขาได้ประเมินมูลค่าทรัพย์สินของบริษัทสูงเกินไปทั้งสิ้น 70 ล้านดอลลาร์
เนื่องจากเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียง ผู้ถือหุ้นต่างก็มั่นใจว่าบริษัทเลห์แมนจะฟื้นได้
ความมั่นใจได้ประคับประคองราคาหุ้นให้ร่วงลงบ้าง แต่ไม่ได้เลวร้ายนัก
แต่ในปี ค.ศ.2008 บริษัทเลห์แมนได้ประกาศการขาดทุนถึง 7,800 ล้าน
แม้แต่ธนาคารขนาดใหญ่อย่างเลห์แมนก็ไม่สามารถทำให้ผู้ถือหุ้นมั่นใจได้
การเทขายหุ้นก็ได้เริ่มขึ้น และราคาหุ้นก็ดิ่งลงไป 95%
อดีตยักษ์ใหญ่ในวงการธนาคาร จึงจำเป็นต้องยื่นล้มละลาย
มันเป็นการล้มละลายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และผู้ถือหุ้นก็สูญเสียทุกอย่าง ซึ่งพิสูจน์ว่าแม้หุ้นของบริษัทที่มีชื่อเสียงก็ยังมีความเสี่ยง