ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ศิลปินได้หาหนทางนำเอาความเข้าใจอันลึกซึ้งในทางคณิตศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในงานของพวกเขา
ศิลปะแนวคิวบิสม์ (Cubism)
ศิลปะบางรูปแบบแสดงออกได้อย่างชัดเจนมากกว่าแนวคิวบิสม์ ซึ่งเป็นศิลปะแนวนามธรรมในยุคแรก
คิวบิสม์เกิดขึ้นในยุโรป เมื่อตอนต้นทศวรรษ 1900
ภาพ Weeping Woman
ปาโบล ปีกัสโซ ค.ศ.1937
พัฒนาขึ้นโดยศิลปินต่างๆ เช่น ปาโบล ปีกัสโซ โดยเป็นการพยายามที่จะวาดภาพความเป็นไปของโลกผ่านรูปทรงเรขาคณิต
ทรงกระบอก ทรงกรวย และทรงกลม
ศิลปินแนวคิวบิสม์ ได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานในยุคหลังของพอล เซซาน
ภาพ Still Life with a Curtain
พอล เซซาน ค.ศ.1895
เขาได้ประกาศว่า ทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นรูปทรงกระบอก ทรงกรวย และทรงกลม
รูปร่างเหล่านี้เป็นรูปทรงเรขาคณิตสามมิติ
ทรงกระบอกประกอบด้วยพื้นผิวรูปโค้ง 1 ชิ้น ฐานแบนด้านล่าง และด้านบน
โดยด้านปลายมักจะเป็นวงกลม แต่ก็เป็นวงรีได้ด้วย
ทรงรี หรือ รูปไข่
หรือที่เรียกว่า ทรงกระบอกวงรี
ทรงกรวยมีพื้นผิวรูปโค้งเช่นกัน และฐานแบน
จากฐานของทรงกรวยจะแคบลงเป็นจุด เรียกว่า จุดยอด
ทรงกลมเป็นรูปสมมาตรที่สมบูรณ์ ไม่มีขอบ ไม่มีจุดยอด...และทุกๆ จุดบนพื้นผิวของทรงกลมจะมีระยะทางเท่ากันจากจุดศูนย์กลาง
ภาพ Woman with a Guitar
จอร์จ บราก ค.ศ.1913
ศิลปินแนวคิวบิสม์สร้างสรรค์ภาพโดยการใช้รูปทรงเหล่านี้แสดงการมองแบบแยกส่วนจากหลายมุมมอง
ภาพ Fruit and Spirits
อาร์เดนโก้ ซอฟฟีซี ค.ศ.1915
ในไม่ช้า ศิลปะแนวคิวบิสม์ กลายเป็นที่รู้จักมากที่สุดและเป็นแนวทางของศิลปะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในศตวรรษที่ 20 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการใช้หลักการทางเรขาคณิต