ไม่ว่าจะเป็นฝนที่ตกปรอยๆ หรือฝนที่ตกลงมาเป็นห่าใหญ่ของมรสุม ฝนคือส่วนที่สำคัญของสภาพอากาศของเรา...
ฝนทุกประเภทล้วนเกิดจากก้อนเมฆ
เมฆคือมวลของหยดน้ำและผลึกของน้ำที่หมุนวนรอบตัว มันประกอบไปด้วยน้ำนับพันล้านโมเลกุล
แต่ละโมเลกุลเกิดจากอะตอมของไฮโดรเจนสองอะตอม และอะตอมของออกซิเจนหนึ่งอะตอม
แต่น้ำเพียงโมเลกุลเดียว กลายเป็นหยดน้ำฝนที่หนักเพียงพอที่จะตกลงบนโลกได้อย่างไร?
ไอน้ำเกิดการควบแน่นรอบๆ อนุภาคของฝุ่นและละออง
ระหว่างนั้น โมเลกุลของน้ำจะถูกดึงดูดเข้าหากันสู่พื้นผิวของมัน และชนกัน ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและหนักขึ้น
ต้องใช้หยดน้ำเล็กๆ แบบนี้นับล้านหยด เพื่อทำให้เกิดน้ำฝนหนึ่งหยด…และแรงโน้มถ่วงก็ทำหน้าที่ที่เหลือ
ฝนที่ตกมีอยู่สามประเภทด้วยกัน
ประเภทแรกคือ ฝนที่เกิดจากการพาความร้อน เกิดในสภาพอากาศร้อน
เมื่อดวงอาทิตย์ให้ความร้อนแก่พื้นดิน ทำให้น้ำระเหย อากาศร้อนชื้นเคลื่อนที่ขึ้น แล้วเย็นตัวลง และเกิดการควบแน่น
ทำให้เกิดเมฆคิวมูโลนิบัส ที่มีรูปทรงแนวตั้ง และเกิดฝนตกหนักตามมา
วัฏจักรเช่นนี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ฝนที่เกิดจากการพาความร้อน:ความชื้นบนพื้นดินระเหย ไอน้ำเคลื่อนที่ขึ้นและเย็นตัวลง เกิดเป็นเมฆคิวมูโลนิมบัส
ฝนประเภทที่สอง คือฝนแนวปะทะ เกิดขึ้นเมื่อมวลอากาศร้อนและมวลอากาศเย็นขนาดใหญ่ปะทะกัน
การทดสอบในห้องทดลองนี้ สีย้อมสีฟ้าเป็นตัวแทนมวลอากาศเย็น
มันหนักและหนาแน่น และดันให้มวลอากาศร้อนเคลื่อนที่ขึ้นเมื่อมันปะทะกัน
เมื่อมวลอากาศร้อนนี้เย็นตัวลง จะเกิดเป็นก้อนเมฆ ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นฝน
ฝนแนวปะทะ:มวลอากาศร้อนและมวลอากาศเย็นปะทะกัน มวลอากาศเย็นดันมวลอากาศร้อนขึ้นด้านบนไอน้ำเย็นตัวและควบแน่น
ฝนประเภทที่สาม คือฝนที่ตกในพื้นที่สูง เกิดขึ้นใกล้ชายทะเล
...Please log in to view and download the complete transcript.