Classroom visuals
Film info
Film summary
ในศตวรรษที่ 20 คางคกยักษ์อเมริกาใต้ถูกนำเข้าสู่ออสเตรเลียเพื่อจับกินแมลงที่ทำลายไร่อ้อย แต่เมื่อคางคกยักษ์หลุดเข้าสู่ธรรมชาติ มันกลับสร้างความเสียหายมากกว่าประโยชน์Key facts
- คางคกยักษ์ได้ถูกนำเข้าไปออสเตรเลียเพื่อช่วยเกษตรกร
- พวกมันขยายเผ่าพันธุ์และยึดพื้นที่จนเผ่าพันธุ์พื้นถิ่นมากมายสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไป
- พวกมันไม่มีนักล่าตามธรรมชาติและสามารถดำรงอยู่ได้ในแหล่งที่อยู่ที่หลากหลาย
- นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการบุกรุกที่สำเร็จ
Transcript
ออสเตรเลีย
เป็นที่รู้กันดีว่า ออสเตรเลียเป็นทวีปที่เป็นเกาะ ล้อมรอบด้วยน้ำและแยกออกจากพื้นที่อื่นๆ
แต่การแยกตัวออกเช่นนี้ก็ไม่สามารถป้องกันมันจากผู้รุกรานได้
หลังจากตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปลายศตวรรษที่ 18 สิ่งมีชีวิตต่างถิ่นมากมายได้ถูกนำเข้าสู่ออสเตรเลีย
สิ่งที่นำความเสียหายมากที่สุดน่าจะเป็นคางคกยักษ์อเมริกาใต้ ซึ่งถูกนำเข้าสู่ออสเตรเลียในปีค.ศ.1935
คางคกยักษ์อเมริกาใต้
ในขณะนั้น พืชเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างอ้อยกำลังถูกโจมตีโดยแมลงในท้องถิ่น จึงเป็นที่คาดหวังว่าคางคกยักษ์ซึ่งกินแมลงเป็นอาหารจะสามารถยับยั้งปัญหาได้ แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเกษตรกรชาวออสเตรเลียและผู้ตั้งรกรากใหม่ คางคกยักษ์ไม่สามารถปีนลำต้นอ้อยเพื่อไปจับแมลงกินได้และได้หายเข้าไปในป่า
คางคกยักษ์เพิ่มจำนวนและกระจายไปทั่วออสเตรเลีย ปัจจุบันพวกมันยึดครองพื้นที่มากกว่า 1 ล้านตารางกิโลเมตร
คางคกยักษ์ 102 ตัว ถูกนำเข้าในปี ค.ศ.1935 ประชากรเพิ่มเป็น 1.5 พันล้านตัวในปี ค.ศ.2010
การรุกรานที่ประสบความสำเร็จ
คางคกยักษ์ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตผู้รุกรานที่เป็นปัญหาใหญ่ของออสเตรเลีย เพราะความสามารถในการทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ทั้งชายฝั่ง ป่าฝนเขตร้อน และป่าชายเลน
และมันเป็นสัตว์นักขยายพันธุ์ชั้นยอด โดยคางคกตัวเมียจะออกไข่ได้ถึงครั้งละ 35,000 ฟอง
เมื่อถูกคุกคาม คางคกยักษ์จะปล่อยพิษจากต่อมซึ่งอยู่ด้านหลังทำให้พวกมันเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรง
เนื่องจากมันมีศัตรูที่เป็นสัตว์ผู้ล่าจำนวนน้อย คางคกยักษ์จึงได้แย่งแหล่งอาศัยของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำท้องถิ่น
ผลกระทบ
มันเป็นการยากที่จะรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตกี่ชนิดที่สูญพันธุ์เพราะการรุกรานของคางคกยักษ์ แต่หลักฐานชี้ให้เห็นว่าตัวเงินตัวทอง ...
Please log in to view and download the complete transcript.
